วันพุธที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2555

มารู้จักอาเซียนกันเถอะ

การพัฒนาสถานศึกษาสู่ประชาคมอาเซียน
Spirit of ASEAN
การขับเคลื่อนสู่ประชาคมอาเซียน
            อาเซียน หรือสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Association of Southeast Asian Nations หรือ ASEAN) ก่อตั้งขึ้นโดยปฏิญญากรุงเทพ (The Bangkok Declaration) เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2510 โดยสมาชิกผู้ก่อตั้งมี 5 ประเทศ ได้แก่ ไทย อินโดนีเซีย มาเลเซีย สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ ในเวลาต่อมาได้มีประเทศต่างๆ สมัครเข้าเป็นสมาชิกเพิ่มเติม ได้แก่ บรูไน (เป็นสมาชิกเมื่อวันที่ 8 ม.ค. 2527) เวียดนาม (เป็นสมาชิกเมื่อวันที่ 28 ก.ค. 2538) ลาว พม่า (เป็นสมาชิกเมื่อวันที่ 23 ก.ค. 2540) และกัมพูชา (เป็นสมาชิกเมื่อวันที่ 30 เม.ย. 2542) ตามลำดับ ทำให้อาเซียนมีสมาชิกครบ 10 ประเทศ
             วัตถุประสงค์หลักของการก่อตั้งอาเซียน คือ เพื่อส่งเสริมความร่วมมือและความช่วยเหลือ ทางเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม เทคโนโลยี และการบริหาร ส่งเสริมสันติภาพและความมั่นคงของภูมิภาค ส่งเสริมความร่วมมือระหว่างอาเซียนกับต่างประเทศและองค์กรระหว่างประเทศ นโยบายการดาเนินงานของอาเซียนจะเป็นผลจากการประชุมหารือเพื่อกำหนดแนวนโยบายในภาพรวมและเป็นโอกาสที่ประเทศ สมาชิกจะได้ร่วมกันประกาศเป้าหมายและแผนงานของอาเซียนในระยะยาว โดยการจัดทาเอกสาร ในรูปแบบของแผนปฏิบัติการ (Action Plan) แถลงการณ์ร่วม (Joint Declaration) ปฏิญญา (Declaration) ความตกลง (Agreement) หรืออนุสัญญา (Convention) เช่น Hanoi Declaration, Hanoi Plan of Action และ ASEAN Convention on Counter Terrorism เป็นต้น
                อาเซียนมีความร่วมมือทางสังคมและวัฒนธรรมครอบคลุมทุกสาขา ไม่ว่าจะเป็นด้านการศึกษา การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ เยาวชน และได้มีการพัฒนาความร่วมมืออย่างต่อเนื่อง ใน พ.ศ. 2546 ผู้นาประเทศอาเซียนได้เห็นชอบร่วมกันจัดตั้ง ประชาคม สังคม อาเซียนซึ่งมีประชาคมสังคมและวัฒนธรรมเป็นหนึ่งในเสาหลัก เพื่อให้การพัฒนาความร่วมมือของอาเซียนด้านสังคมและวัฒนธรรมเป็นไปโดยมีทิศทางและเป้าหมายที่ชัดเจนยิ่งขึ้น และอาเซียนได้ตั้งเป้าหมายเป็นประชาคมสังคมอาเซียน (ASEAN Socio-Cultural Community) ในปี พ.ศ. 2558 โดยมุ่งหวังเป็นประชาคมที่มีประชาชนเป็นศูนย์กลาง มีสังคม ที่เอื้ออาทรและแบ่งปัน ประชากรอาเซียนมีสภาพความเป็นอยู่ที่ดีและมีการพัฒนาในทุกด้าน เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน ส่งเสริมการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน รวมทั้งส่งเสริมอัตลักษณ์อาเซียน (ASEAN Identity) เพื่อรองรับการเป็นประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน ผลลัพธ์ที่เกิดจากการจัดตั้งประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน คือ ประเทศสมาชิกจะมีกลไกและเครื่องมือที่ครอบคลุมและมีประสิทธิภาพในการแก้ปัญหา การเสริมสร้างความร่วมมือด้านสังคมและวัฒนธรรม ซึ่งทาให้ประชาชนของประเทศสมาชิกมีความอยู่ดีกินดีและมีฐานะทางสังคมที่ทัดเทียมกัน
                  ประเทศไทยได้รับมอบตำแหน่งประธานอาเซียนต่อจากสิงคโปร์ เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2551 โดยดารงตำแหน่งนี้ถึงเดือนธันวาคม 2552 ในช่วงที่ประเทศไทยดารงตำแหน่งประธานอาเซียน รัฐบาลได้กำหนดเป้าหมายหลักที่จะผลักดันไว้ 3 ประการ คือ
1. การอนุวัติข้อผูกพันภายใต้กฎบัตรอาเซียน (Realizing the Commitments Under the ASEAN Charter)
2. การฟื้นฟูอาเซียนให้เป็นองค์กรที่มีประชาชนเป็นศูนย์กลาง (Revitalizing ASEAN as a People-Centered Community)
3. การเสริมสร้างการพัฒนาและความมั่นคงของมนุษย์สาหรับประชาชนทุกคนในภูมิภาค (Reinforcing Human Development and Security for All Peoples of the Region)
              การเสริมสร้างการพัฒนาและความมั่นคงของมนุษย์สาหรับประชาชนทุกคนในภูมิภาค เป็นการ ทำให้กรอบความร่วมมือต่างๆ ของอาเซียนเกิดประโยชน์ต่อประชาชนมากที่สุด ซึ่งประเด็นเหล่านี้ ได้มีการหารือในการประชุมระดับผู้นาอาเซียนที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพและยุทธศาสตร์ที่ประเทศไทยใช้เพื่อให้บรรลุเป้าหมายข้างต้น คือ
1. การสร้างความตระหนักรู้ของประชาชนเกี่ยวกับอาเซียน
2. การส่งเสริมความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับบทบาทประเทศไทยในฐานะประธานอาเซียน
3. การเสริมสร้างให้ประเทศสมาชิกอาเซียนทั้ง 10 ประเทศรวมตัวกันเป็น ประชาคมอาเซียนทั้งในด้านการเมืองและความมั่นคง ด้านเศรษฐกิจ ด้านสังคมและวัฒนธรรมภายใน พ.ศ. 2558
4. การส่งเสริมความร่วมมือระหว่างอาเซียนกับประเทศคู่เจรจาของอาเซียน โดยเฉพาะประเด็น ที่เกี่ยวข้องกับความเป็นอยู่ของประชาชนโดยตรง
              ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาถึงแม้ว่าอาเซียนจะมีความร่วมมือในด้านต่างๆ ตามสมควร แต่ก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์เป็นอย่างมากเรื่องการเป็นองค์กรที่เข้าไม่ถึงประชาชน และประชาชนในประเทศสมาชิกอาเซียนเองก็ไม่สนใจอาเซียนเท่าที่ควร ดังนั้น รัฐบาลไทยได้ตระหนักถึงความสำคัญ และความจาเป็น ที่คนไทยกับมิตรประเทศอาเซียนจะต้องช่วยกันผลักดันให้เกิดประชาคมอาเซียนขึ้นในปี 2558 บรรลุตามเป้าหมายอาเซียน
               ประชาคมอาเซียน หมายถึง การรวมตัวกันของประเทศสมาชิกอาเซียน 10 ประเทศ ได้แก่ ไทย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย สิงคโปร์ ลาว กัมพูชา เวียดนาม บรูไน และพม่า เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและอำนาจการต่อรองในเวทีระหว่างประเทศ รวมถึงความสามารถในการรับมือกับปัญหาใหม่ๆ ในระดับโลก ที่ส่งผลกระทบต่อภูมิภาค
ภาษาอาเซียน หมายถึง ภาษาที่ประเทศสมาชิกอาเซียนใช้ในการสื่อสารของแต่ละประเทศ คือ ภาษามลายู ภาษาลาว ภาษาเขมร ภาษาตากาล็อก ภาษาอินโดนีเซียหรือภาษาบาฮาซา ภาษาพม่า ภาษาเวียดนาม และภาษาไทย
                 อัตลักษณ์ของอาเซียน หมายถึง ความรู้สึกของประชาชนในการเป็นเจ้าของอาเซียนร่วมกัน
           สมรรถนะหลัก 5 ประการ หมายถึง สมรรถนะที่สำคัญสาหรับการดาเนินชีวิตในประชาคมอาเซียน ได้แก่
1. Personal Spirit ความเป็นผู้มีจิตวิญญาณแห่งมิตรไมตรี สันติภาพ และความสงบสุข จิตสานึกแห่งคนดี เรียนรู้และพัฒนาตนเองเพื่อทาความดี ทาคุณประโยชน์แก่ผู้อื่นเสมอ
2. Problem Solving ความสามารถในการแก้ไขปัญหา จาเป็นต้องเรียนรู้ และมีแผน ในการศึกษาวิเคราะห์ แก้ไขปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้น อย่างเป็นระบบ
3. Team Work การมีทีมทางาน การมีที่ปรึกษา จะเกิดพลังความสามารถในการปฏิบัติงาน และการดารงชีวิตที่มีประสิทธิภาพ ลดความเสี่ยง ลดความผิดพลาด ที่อาจจะเกิดขึ้นโดยมิสมควรลงได้
4. Communication การติดต่อสื่อสารระหว่างกัน เราต้องเรียนรู้และเข้าใจซึ่งกันและกันทั้งด้านกว้างและลึก โดยเฉพาะด้านศิลปวัฒนธรรมที่หลากหลาย โดยใช้ภาษาอังกฤษและภาษาต่างประเทศที่ 2
5. Thinking ความฉลาดในการคิด มีพื้นฐานมาจากการรักการอ่าน การศึกษาหาความรู้ อยู่เสมอ การสั่งสมความรู้และวิทยาการ ทาให้เกิดไหวพริบ มีปัญญา เป็นคนที่ฉลาดในการคิด

 สื่อการเรียนรู้
3.1 ชุดสื่อต้นแบบเกี่ยวกับอาเซียนสาหรับนักเรียน ที่สานักงานคณะกรรมการการศึกษา ขั้นพื้นฐาน โดยสานักวิชาการและมาตรฐานการศึกษาจัดทา/จัดซื้อ/จัดหา ขึ้น
3.2 สื่อและแหล่งการเรียนรู้อื่นๆ ที่โรงเรียนจัดทา/จัดซื้อ/จัดหา ขึ้น
3.3 คอมพิวเตอร์ อินเตอร์เน็ต Web-community
 แหล่งการเรียนรู้เกี่ยวกับประชาคมอาเซียน (เว็บไซต์
แนะนาเกี่ยวกับประชาคมอาเซียน)
http://www.15thaseansummit-th.org
http://www.15thaseansummit-th.org/thai/asean_documentary.php
http://www.15thaseansummit-th.org/thai/asean_discovery_cartoon.php
http://www.aseansec.org
http://en.wikipedia.org/wiki/ASEAN
http://www.mfa.go.th/web/1650.php
http://thailandasean.prd.go.th/en/Default.aspx

http://www.bic.moe.go.th/index.php?id=579 Royal Thai Government
http://www.thaigov.go.th/eng/index.aspx Ministry of Agriculture and Cooperatives http://www.moac.go.th/builder/moac/eng/ Ministry of Commerce http://www.moc.go.th/ Ministry of Culture http://www.m-culture.go.th/en/ Ministry of Defence http://www.mod.go.th/eng_mod/index.html Ministry of Energy http://www.energy.go.th/en/ Ministry of Finance http://www.mof.go.th/index_e.html Ministry of Foreign Affairs http://www.mfa.go.th/web/2630.php Ministry of Industry http://www.industry.go.th/page/home.aspx Ministry of Justice http://www.moj.go.th/en/ Ministry of Natural Resources and Environment www.monre.go.th/index.php Ministry of Public Health http://eng.moph.go.th/ Ministry of Social Development and Human Security http://www.m-society.go.th/en/index.php Ministry of Tourism and Sports http://www.mots.go.th/main.php?filename=index___EN Tourism Authority of Thailand http://www.tourismthailand.org/
 ที่มา:http://www.prachapat.ac.th/web1/web/mainfile/qfn5G0Lsd3Np.pdf
 

คอมพิวเตอร์ กับ เศรษฐกิจพอเพียง

คอมพิวเตอร์ กับ เศรษฐกิจพอเพียง
เศรษฐกิจพอเพียง คือ ปรัชญาที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำรัสชี้แนะเป็นแนวทางการดำเนินชีวิต แก่พวกเราชาวไทยมานานกว่า30 ปี  พระองค์ได้ทรงเน้นย้ำให้พวกเราใช้เป็นแนวทางการแก้ไข เพื่อให้ประเทศไทยสามารถดำรงอยู่ได้อย่างยั่งยืนภายใต้กระแสโลกาภิวัตน์ และความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในทุกๆด้าน ดังนั้น  หลักปรัชญา เศรษฐกิจพอเพียง จึงเน้นการปฏิบัติที่ไม่ประมาท นั่นคือ เน้นให้เราดำเนินชีวิตบนทางสายกลาง   ก็คือ  ความพอเหมาะ        พอดี ไม่น้อยเกินไป ไม่มากเกินไป  ไม่สุดโต่ง ไม่โลภมาก ไม่ฟุ้งเฟ้อจนเกินฐานะ  แต่ก็ไม่ใช่ตระหนี่ถี่เหนียวหรือประหยัดจนขาดแคลน จะเห็นว่า   พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็น                    พระมหากษัตริย์ที่สนพระทัยใฝ่รู้และทรงศึกษาอย่างจริงจัง ลึกซึ้งในการค้นคว้าวิจัยเพื่อการพัฒนาในทางวิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ การเกษตร การชลประทาน การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และการใช้เครื่องมือเทคโนโลยีต่างๆ โดยเฉพาะด้านเทคโนโลยีสารสนเทศนั้น ทรงเห็นความสำคัญและประโยชน์อย่างยิ่ง ทรงสนับสนุนการค้นคว้าในทางวิทยาการคอมพิวเตอร์ ในด้านส่วนพระองค์นั้นทรงศึกษาคิดค้นสร้างโปรแกรมคอมพิวเตอร์เพื่อการประมวลผลข้อมูลต่างๆ  ด้วยพระองค์เอง ทรงประดิษฐ์รูปแบบตัวอักษรไทยที่มีลักษณะงดงาม เพื่อแสดงผลบนจอภาพคอมพิวเตอร์และเครื่องพิมพ์ ทรงใช้เครื่องคอมพิวเตอร์เพื่อบันทึกพระราชกรณียกิจต่างๆ และทรงติดตั้งเครือข่ายสื่อสารคอมพิวเตอร์เพื่อสนับสนุนพระราชภารกิจต่างๆ  ทั้งยังทรงเคยประดิษฐ์ ส.ค.ส. ด้วยคอมพิวเตอร์ เผยแพร่ผ่านสื่อมวลชนเพื่อทรงอวยพรปวงชนชาวไทย  พระองค์ทรงใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ในงานส่วนพระองค์ทางด้านดนตรี โดยทรงใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ในการป้อนโน้ตเพลงและเนื้อร้อง พระองค์ท่านทรงศึกษาวิธีการใช้เครื่องและโปรแกรมที่เกี่ยวข้องด้วยพระองค์เอง
          ในการใช้คอมพิวเตอร์ก็สามารถนำหลักเศรษฐกิจพอเพียงเข้ามาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ได้อย่างมาก เช่น ด้านการจัดการภาครัฐ ในส่วนงานทะเบียนราษฎร์ คือ การแจ้งเกิด ตาย ย้ายที่อยู่ การทำบัตรประจำตัวประชาชน ด้านธุรกิจทั่วไป ในส่วนงานการทำบัญชี รายการซื้อขาย งานเรียบเรียงเอกสาร ด้านโทรคมนาคมในส่วนงานการสำรองที่นั่งผู้โดยสารของสายการบินซึ่งเป็นการลดปริมาณของเอกสาร ด้านการศึกษาซึ่งนำคอมพิวเตอร์มาเป็นสื่อช่วยในการเรียนการสอน เช่น การเรียนผ่านระบบออนไลน์ให้กับผู้เรียนที่อยู่ห่างไกล ด้านวิทยาศาสตร์และการแพทย์ ในส่วนงานการจัดเก็บข้อมูลประวัติการรักษาของคนไข้ การวิจัย  คำนวณและการจำลองแบบ  คอมพิวเตอร์สามารถเข้ามาช่วยจัดการการทำงานต่างๆ ได้เป็นอย่างดี ลดทั้งภาระงานและประหยัดเวลาในการ ทำงานด้านต่างๆ   
          ทั้งนี้  ผู้ใช้งานต้องศึกษาหลักการใช้คอมพิวเตอร์อย่างละเอียด ต้องมีความรอบรู้ในงานที่จะทำ คือ รู้ถึงความต้องการและความจำเป็นที่จะใช้งาน ไม่วิ่งตามเทคโนโลยีจนเกินไป ในการเลือกซื้อคอมพิวเตอร์ไม่จำเป็นต้องซื้อที่เพิ่งวางจำหน่ายและมีราคาแพงมาก ไม่ควรมองที่รูปลักษณ์ภายนอกที่ทันสมัยมากจนเกินไปเพราะจะทำให้เสียค่าใช้จ่ายมากขึ้นกว่าที่จำเป็น  ต้องศึกษาข้อดีข้อด้อยของเครื่องแบบต่างๆ แล้วนำมาเปรียบเทียบกันก่อนที่จะตัดสินใจ และไม่ควรใช้คอมพิวเตอร์ไปละเมิดสิทธิของบุคคลอื่น  ควรใช้คอมพิวเตอร์เพื่อก่อให้เกิดความคุ้มค่าต่อตนเองและสังคม
                                                                     ที่มา: http://www.gotoknow.org/posts/140471?

วันพุธที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ประเภทของคอมพิวเตอร์

ประเภทของคอมพิวเตอร์
ประเภทของคอมพิวเตอร์ในปัจจุบัน คอมพิวเตอร์ได้ใช้วงจรเบ็ดเสร็จขนาดใหญ่มาก (very large scale integrated circuit) ซึ่งสามารถบรรจุทรานซิสเตอร์ได้มากกว่าสิบล้านตัว เราสามารถแบ่งคอมพิวเตอร์ในรุ่นปัจจุบันออกเป็น 7 ประเภทดังต่อไปนี้

1.ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ (supercomputer)ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ ถือได้ว่าเป็นคอมพิวเตอร์ที่มีความเร็วมาก และมีประสิทธิภาพสูงสุดเมื่อเปรียบเทียบกับคอมพิวเตอร์ชนิดอื่น ๆ เครื่องซูเปอร์คอมพิวเตอร์มีราคาแพงมาก มีขนาดใหญ่ สามารถคำนวณทางคณิตศาสตร์ได้หลายแสนล้านครั้งต่อวินาที และได้รับการออกแบบ เพื่อให้ใช้แก้ปัญหาขนาดใหญ่มากทางวิทยาศาสตร์และทางวิศวกรรมศาสตร์ได้อย่างรวดเร็ว เช่น การพยากรณ์อากาศล่วงหน้าเป็นเวลาหลายวัน การศึกษาผลกระทบของมลพิษกับสภาวะแวดล้อมซึ่งหากใช้คอมพิวเตอร์ชนิดอื่นๆ แก้ไขปัญหาประเภทนี้ อาจจะต้องใช้เวลาในการคำนวณหลายปีกว่าจะเสร็จสิ้น ในขณะที่ซูเปอร์คอมพิวเตอร์สามารถแก้ไขปัญหาได้ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น เนื่องจากการแก้ปัญหาใหญ่ ๆ จะต้องใช้หน่วยความจำสูง ดังนั้น ซูเปอร์คอมพิวเตอร์จึงมีหน่วยความจำที่ใหญ่มาก ซูเปอร์คอมพิวเตอร์มีหลายประเภท ตั้งแต่รุ่นที่มีหน่วยประมวลผล (processing unit) 1 หน่วย จนถึงรุ่นที่มีหน่วยประมวลผลหลายหมื่นหน่วยซึ่งสามารถทำงานหลายอย่างได้พร้อม ๆ กัน

2.เมนเฟรมคอมพิวเตอร์ (mainframe computer)เมนเฟรมคอมพิวเตอร์ มีสมรรถภาพที่ต่ำกว่าซูเปอร์คอมพิวเตอร์มาก แต่ยังมีความเร็วสูง และมีประสิทธิภาพสูงกว่ามินิคอมพิวเตอร์หรือไมโครคอมพิวเตอร์ เมนเฟรมคอมพิวเตอร์สามารถให้บริการผู้ใช้จำนวนหลายร้อยคนพร้อม ๆ กัน ฉะนั้น จึงสามารถใช้โปรแกรมจำนวนนับร้อยแบบในเวลาเดียวกันได้ โดยเฉพาะถ้าต่อเครื่องเข้าเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ผู้ใช้สามารถใช้ได้จากทั่วโลก ปัจจุบัน องค์กรใหญ่ๆ เช่น ธนาคาร จะใช้คอมพิวเตอร์ประเภทนี้ในการทำบัญชีลูกค้า หรือการให้บริการจากเครื่องฝากและถอนเงินแบบอัตโนมัติ (automatic teller machine) เนื่องจากเครื่องเมนเฟรมคอมพิวเตอร์ได้ถูกใช้งานมากในการบริการผู้ใช้พร้อม ๆ กัน เมนเฟรมคอมพิวเตอร์จึงต้องมีหน่วยความจำที่ใหญ่มาก

3.มินิคอมพิวเตอร์ (minicomputer)มินิคอมพิวเตอร์ คือ เมนเฟรมคอมพิวเตอร์ขนาดเล็ก ๆ ซึ่งสามารถบริการผู้ใช้งานได้หลายคนพร้อม ๆ กัน แต่จะไม่มีสมรรถภาพเพียงพอที่จะบริการผู้ใช้ในจำนวนที่เทียบเท่าเมนเฟรมคอมพิวเตอร์ได้ จึงทำให้มินิคอมพิวเตอร์เหมาะสำหรับองค์กรขนาดกลาง หรือสำหรับแผนกหนึ่งหรือสาขาหนึ่งขององค์กรขนาดใหญ่เท่านั้น

4.ไมโครคอมพิวเตอร์ (microcomputer) หรือ พีซี (personal computer หรือ PC)ไมโครคอมพิวเตอร์ คือ คอมพิวเตอร์ขนาดเล็กแบบขนาดตั้งโต๊ะ (desktop computer) หรือขนาดเล็กกว่านั้น เช่น ขนาดสมุดบันทึก (notebook computer) และขนาดฝ่ามือ (palmtop computer) ไมโครคอมพิวเตอร์ได้เริ่มมีขึ้นในปีพ.ศ. 2518 ถึงแม้ว่าในระยะหลัง เครื่องชนิดนี้จะมีประสิทธิภาพที่สูง แต่เนื่องจากมีราคาไม่แพงและมีขนาดกระทัดรัด ไมโครคอมพิวเตอร์จึงยังเหมาะสำหรับใช้ส่วนตัว ไมโครคอมพิวเตอร์ได้ถูกออกแบบสำหรับใช้ที่บ้าน โรงเรียน และสำนักงานสำหรับที่บ้าน เราสามารถใช้ไมโครคอมพิวเตอร์ในการทำงบประมาณรายรับรายจ่ายของครอบครัวช่วยทำการบ้านของลูกๆ การค้นคว้าข้อมูลและข่าวสาร การสื่อสารแบบอิเล็กทรอนิกส์ (electronic mail หรือ E - mail) หรือโทรศัพท์ทางอินเทอร์เน็ต (internet phone) ในการติดต่อทั้งในและนอกประเทศ หรือแม้กระทั่งทางบันเทิง เช่น การเล่นเกมบนเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ สำหรับที่โรงเรียน เราสามารถใช้ไมโครคอมพิวเตอร์ในการช่วยสอนนักเรียนในการค้นคว้าข้อมูลจากทั่วโลกสำหรับที่สำนักงาน เราสามารถใช้ไมโครคอมพิวเตอร์ในการช่วยพิมพ์จดหมายและข้อมูลอื่นๆ เก็บและค้นข้อมูล วิเคราะห์และทำนายยอดซื้อขายล่วงหน้า

5.โน้ตบุ๊ค (notebook or laptop)โน้ตบุ๊ค คือ คอมพิวเตอร์ที่มีขนาดเล็กกว่าไมโครคอมพิวเตอร์ ถูกออกแบบไว้เพื่อนำติดตัวไปใช้ตามที่ต่างๆ มีขนาดเล็ก และน้ำหนักเบา ในปัจจุบันมีขนาดพอๆกับสมุดที่ทำด้วยกระดาษ

6.เน็ตบุ๊ค (netbook or laptop)เน็ตบุ๊ค คือ คอมพิวเตอร์ที่มีขนาดเล็กกว่าไมโครคอมพิวเตอร์และเล็กกว่าโน้ตบุ๊ค ถูกออกแบบไว้เพื่อนำติดตัวไปใช้ตามที่ต่างๆ มีขนาดเล็ก และน้ำหนักเบา

7.แท็บเล็ต คอมพิวเตอร์ (tablet computer)แท็บเล็ต คอมพิวเตอร์ หรือเรียกสั้น ๆ ว่า แท็บเล็ต คือเครื่องคอมพิวเตอร์ที่สามารถใช้ในขณะเคลื่อนที่ได้ ขนาดกลางและใช้หน้าจอสัมผัสในการทำงานเป็นอันดับแรก มีคีย์บอร์ดเสมือนจริงหรือปากกาดิจิตอลในการใช้งานแทนที่แป้นพิมพ์คีย์บอร์ด และมีความหมายครอบคลุมถึงโน๊คบุ๊คแบบ convertible ที่มีหน้าจอแบบสัมผัสและมีแป้นพิมพ์คีย์บอร์ดติดมาด้วยไม่ว่าจะเป็นแบบหมุนหรือแบบสไลด์ก็ตาม